เมื่อมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอัดฉีดเข้ามาในการแข่งขัน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมเป็นปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเหล่าผู้เล่นให้เข้ามาร่วมลงแข่งเพื่อชิงงานจำนวนมหาศาลนั้นไปครอง แต่ในขณะเดียวกันเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ได้สร้างความกังวลให้กับองค์กรที่ดูแลเรื่องกฎเกณฑ์ของวงการกอล์ฟเช่นกัน
โดยทางด้าน Martin Slumbers บอสใหญ่ CEO ของ R&A ได้ระบุว่าทางองค์กรนั้นมีความกังวลและต้องการที่จะคงไว้ซึ่งความยั่งยืนทางด้านการเงิน
“เงินรางวัลจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นมาในวงการกอล์ฟชายนั้นได้ส่งผลระยะยาวต่อแบบแผนธุรกิจของวงการกอล์ฟอาชีพ ซึ่งในฐานะผู้ดูแลของวงการกอล์ฟ เราได้พยายามรักษาสมดุลของเงินรางวัลในการแข่งขัน The Open เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงไว้ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินในปริมาณที่เหมาะสมทั้งในระดับพื้นฐานและรายการใหม่ๆ ที่จะเข้ามา เพื่อเป็นเส้นทางที่เหมาะสมต่อเหล่าเหล่าอะเมเจอร์ฝีมือดีที่จะก้าวมาสู่วงกากรอล์ฟอาชีพ และที่สำคัญคือเพื่อยกระดับวงการกอล์ฟหญิง ทั้งในระดับอะเมเจอร์และระดับอาชีพ” Slumbers กล่าว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางด้าน R&A ก็ได้ออกมาประกาศว่าศึก Open Championship นั้นได้เพิ่มเงินรางวัลเป็น 16.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้ชนะจะได้รับถึง 3 ล้านดอลลาร์ และในปีนี้ PGA Tour ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องการลงแข่งในรายการที่กำหนดเพื่อเป็นการสู้กับการมาของ LIV Golf จำนวน 8 รายการ โดยเงินรางวัลเฉลี่ยของแต่ละรายการนั้นสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้ชนะจะได้รับไปถึง 3.6 ล้านดอลลาร์
ในขณะที่รายการ U.S. Open จะเพิ่มเงินรางวัลเป็น U.S. Open แต่เงินรางวัลสะสมของรายการ Masters นั้นอยู่ที่ 18 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่รายการ PGA Championship อยู่ที่ 17.5 ล้านดอลลาร์ และความต่างเรื่องเงินรางวัลสะสมนี้ก็ยิ่งเห็นชัดเมื่อ Matt Fitzpatrick กวาดไป 3.6 ล้านดอลลาร์หลังคว้าแชมป์ได้จากรายการ RBC Heritage ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการที่กำหนดและจัดแข่งขึ้นหลังศึก Masters ซึ่งถือว่ามากกว่าที่ Jon Rahm ได้มาหลังคว้าแชมป์ในศึก Masters ถึง 3.6 แสนดอลลาร์
ซึ่งทางด้าน Slumbers เองก็เป็นกังวลว่าการร่วมมือกันของ PGA Tour กับกลุ่มทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดิอาระเบียหรือกลุ่มทุน PIF นั้นจะยิ่งเพิ่มปริมาณเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบ
แม้ทางด้าน Slumbers เองก็ยอมรับว่ายังไม่มีแผนที่จะระบุหรือเสนอชื่อผู้สนับสนุนหลักในรายการ The Open เหมือนที่ R&A ได้ทำต่อรายการ AIG Women’s Open แต่เขาก็ยอมรับว่าทางองค์กรก็ยังเดินหน้าที่จะร่วมมือกับผู้สนับสนุนรายต่างๆ และไมได้มองข้ามแนวคิดที่สักวันนึงทางด้าน R&A ก็อาจจะเพิ่มชื่อกลุ่มทุน PIF เข้าไปเป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์ก็เป็นได้
“ผมว่าโลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่วงการกอล์ฟเท่านั้น เพราะคุณจะเห็นได้จากทั้งวงการฟุตบอล, วงการแข่งรถ F1, วงการคริกเก็ต และผมว่าอีกไม่นานวงการเทนนิสก็จะเป็นเช่นกัน วงการกีฬาได้เปลี่ยนไปมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ R&A จะมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เราะจพิจารณาถึงทุกตัวเลือกที่มีเช่นกัน” Slumbers กล่าว
